จับกุม 3 สาวตัวร้ายแก๊งคอลฯ ลวงเงินหมอวัยเกษียณ ได้ 101 ล้าน ผันตัวมาเปิดร้านข้าวแกง-ส้มตำ
ปัจจุบันสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถหลอกลวงคนได้ลดลง ถ้าเทียบกับในอดีต เนื่องจากการปราบปรามทั้งนโยบายรัฐบาล ได้มีการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาย้ำเตือนประชาชนให้มีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น
แกะรอยจับกุม 3 สาวตัวร้ายแก๊งคอลฯ หลอกลวงเงินหมอ 101 ล้าน เปิดร้านข้าวแกง-ส้มตำ หากตกเป็นเหยื่อมีการโอนเงิน ต้องรีบแจ้งความออนไลน์ทางสายด่วน 1441 หรือศูนย์ PCT 081-866-3000 หรือผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com ในทันทีทันใดเพื่ออายัดเงินในบัญชีไม่ให้ไหลออกไปยังต่างประเทศได้ ไม่อย่างนั้นจะตามเงินคืนยาก ปัจจุบันก็ยังคงมีคนถูกหลอก เพราะมีการพัฒนารูปแบบการออกอุบายลวงไม่ให้ซ้ำแบบเดิม และออฟฟิศใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา มีการเปลี่ยนสถานที่อยู่ตลอดเวลา และหันมาเช่าตึกอยู่ในพื้นที่กาสิโน ทำให้ตำรวจไทยต้องใช้เวลาในการประสานงานเข้าไปเพื่อตรวจค้น และปัจจุบันก็ยังคงทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แบบกัดไม่ปล่อยอีกด้วย
ย้อนรอยกลับไปเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2565 ตำรวจได้จับกุมหนุ่ม ตัวฉกาจ 150 ล้าน ระดับตัวท็อปสาย 3 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ตึกประตูดำ” ที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ตีเนียนปลอมเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย หลอกเหยื่อและหนึ่งในผู้เสียหายนั้นคือแพทย์หญิงวัยเกษียณ สูญเงินไปจำนวนมากเป็นจำนวน 101 ล้านบาท แต่ยังมีคนที่ร่วมขบวนการนั้นได้ทำการหลบหนีลอยนวลไปได้ และตำรวจยังมีการแกะรอยไล่ล่า จนในที่สุดเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2566 สามารถจับกุมตัวมาได้อีก 3 คน เป็นพนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ระดับสาย 1 ที่ทำงานมานานเป็นเวลากว่า 1 ปี ในการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา จากการเปิดเผยของ ”พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์” ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้จัดชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบสวนติดตามแก็งคอลเซ็นเตอร์ทั้งประสานงานประเทศเพื่อนบ้าน และติดตามอยู่ในประเทศไทย เพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์สินที่ได้มา ตามนโยบายของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “แก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเดือดร้อนให้กับคนในประเทศไทยเราเป็นจำนวนมาก และยังก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง จึงฝากเตือนว่าเราจะติดตามจับกุมไม่ให้พวกแก๊งนี้ได้กลับมาใช้เงินที่หลอกลวงมาอย่างสุขสบายแน่นอน ถึงแม้ว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะการกระทำความผิดทำกันเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ก่อเหตุข้ามประเทศ และมีคนหลายสัญชาติร่วมกระทำผิดด้วย โดยมีคนจีน เป็นหัวหน้าแก๊ง ”สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ มีคนไทยร่วมด้วยอีก ประมาณ 200 คน ซึ่งมีการสืบสวนขยายผลออกหมายจับอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจับกุมตัว น.ส.สุทธิดา อายุวรรณะ และ น.ส.ขวัญนรินทร์ สายบุตร อายุ 23 ปีเท่ากัน ทำหน้าที่สาย 1 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอบอ้างตัวเป็นพนักงาน Fed-X อ้างว่าเหยื่อมีพัสดุที่ตกค้างอยู่ ส่วน น.ส.นวลอนงค์ จากจะโป๊ะ อายุ 21 ปี เคยทำหน้าที่สาย 1 แต่ไม่ถนัดในการท่องจำบท จึงเปลี่ยนหน้าที่มาทำหน้าที่จัดหาพนักงานคนไทยมาช่วยในแก๊งทำงานเพิ่มเติม พล.ต.ต.ธีรเดช ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนนี้ เคยหลอกลวงผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลากว่า 6 เดือนเมื่อปีที่แล้ว ในจำนวนนั้นมีครูเกษียณอายุราชการ สูญเสียเงินไปจำนวน 11 ล้านบาท มีการหลอกนักลงทุนหุ้น ได้เงินไป 41 ล้านบาท และหลอกแพทย์ในจังหวัดชุมพร ได้เงินไป 101 ล้านบาท ทำให้พวกนี้ได้เงินรางวัลตอบแทนจำนวนหลายแสนบาทเมื่อได้เงินเป็นกอบเป็นกำ จึงตัดสินใจที่จะหลบหนีกลับประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ ในเดือนต.ค. 2565 ก่อนที่น.ส.สุทธิดา และน.ส.ขวัญนรินทร์ ซึ่งเป็นแฟนกัน นำเงินตอบแทนที่ได้มาลงทุนเปิดร้านขายส้มตำและอาหารอีสาน ส่วนน.ส.นวลอนงค์ เปิดร้านขายข้าวแกง จนกระทั่งถูกจับกุมภายในตลาดนัดซอยเพชรเกษม 77 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ส่วนคนไทยที่ข้ามแดนไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากที่เดิมเป็นคนทางภาคเหนือและภาคอีสาน แต่ปัจจุบันมีการรับสมัครงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ผ่านเพจตามจังหวัดเกือบทั่วประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ก็สมัครใจไปเอง ไม่มีการหลอกให้ไปทำงาน ขณะที่เหยื่อที่ถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีปริมาณลดลง แต่มูลค่าความเสียหายไม่ได้ลดลงตามไปด้วน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้เทคโนโลยีมาเป็นส่วนช่วย เช่น แอปฯ ดูดเงิน โดยจะมีการพุ่งเป้าหมายไปยังกลุ่มคนที่เกษียณอายุราชการ มีเงินเก็บ และใช้แอปฯ ธนาคารในมือถือ