แม่ผัวล้มทั้งยืน ว่าที่สะใภ้แสบ ขโมยผ้าไหม เอาทองปลอมสลับแทนทองจริง กดเงินเกลี้ยงบัญชี
เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางนันทิยา อายุ 52 ปี ชาวหมู่บ้านบ่อน้ำใส ต.ตรึม อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ให้ช่วยเร่งรัดคดีที่ถูกคนใกล้ตัวขโมยเงิน-ทองและผ้าไหมไป โดยเจ้าตัวให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 65 ตนได้เดินทางไปแจ้งความไว้กับ พ.ต.ท.เชษฏฐ์สุชา ไกรแก้วโชติรัตน์ รองผกก.(สอบสวน)สภ.สำโรงทาบ พนักงานสอบสวนเวร เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 65 ตนพบว่าเงินในบัญชีจาก 158,567.69 บาท หายไป เหลือเพียง 97.69 บาท
หลังจากนั้นได้เอาสร้อยคอทองคำรูปพรรรณของตนเอง จำนวน 3 เส้น หนัก 1 บาท จำนวน 2 เส้น หนัก 50 สตางค์ 1 เส้น ไปที่ร้านทอง ให้พนักงานร้านทองตรวจสอบดู ปรากฏว่าสร้อยคอทองคำทั้งหมดเป็นทองปลอม พอกลับไปที่บ้านได้ตรวจสอบผ้าไหมที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าปรากฏว่าผ้าไหมหายไปหมด โดยไม่ทราบสาเหตุว่าผู้ใดเป็นผู้มาขโมยไปเมื่อใด
ตนจึงได้รีบไปแจ้งความไว้เมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหาย ส่วนบุคคลที่ตนสงสัยว่าเป็นคนก่อเหตุ คือว่าที่ลูกสะใภ้ โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว ลูกชายได้รู้จักทางเฟซบุ๊กและพาเข้ามาอยู่ในบ้านได้ประมาณ 7 เดือน เหตุที่สงสัย เพราะลูกสะใภ้เคยขอกุญแจตู้เสื้อผ้าไปจำนวน 3 ดอกแล้วหายไป 1 ดอก พอสอบถามก็บอกว่ากุญแจมันคงมี 2 ดอก เท่านี้ก็รู้แล้ว อีกทั้งพอเรื่องแดงขึ้นมาลูกสะใภ้ก็หายไปจากบ้าน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถามกับ ร.ต.อ.ประสิทธิ์ จันทร์ดำ พนักงานสอบสวนเวร สภ.หนองจอก ต.คาละแมะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เข้าไปขอความร่วมมือกับธนาคารแห่งหนึ่งภายในเขตพื้นที่อำเภอสำโรงทาบ ก็พบว่าคนร้ายที่นำบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินนั้นไม่ใช่ใครเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของผู้แจ้งเอง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกหมายเรียกไปแล้ว 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 14 มี.ค.66 ที่ผ่านมา และคนร้ายที่นำสิ่งของออกไปทั้งหมดคาดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่แจ้ง และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกหมายเรียกไปแล้ว หากครั้งที่ 2 ไม่มาก็คงออกหมายจับอย่างแน่นอน.